อาการก่อนมีประจำเดือน

เมื่อ ใกล้มีรอบเดือน ผู้หญิงกว่า 80% ทั่วโลกมักเกิดความไม่สบายทั้งทางร่างกายและจิตใจ สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นอาการป่วยชนิดหนึ่งที่เรียกว่า PMS หรือ Premenstrual Syndrome หลายคนต้องสูญเสียสัมพันธภาพกับคนรัก บางคนตัดสินใจด้านธุรกิจผิดพลาดไปในช่วงนี้

Premenstrual Syndrome คือ อาการปวดเกร็งอย่างผิดปกติของมดลูก ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อเรียบ และ พบว่าการหดตัวอย่างผิดปกตินี้มีความสัมพันธ์กับปริมาณของ Calcium ที่ผิดปกติด้วย ทุกรอบเดือน ผู้หญิงในวัยที่ทางวิชาการ เรียกว่า “วัยเจริญพันธุ์” จะมีเลือดหลั่งออกมาจากช่องคลอด ภาษาอังกฤษใช้คำว่า menses คนไทยหลายคนเรียกกันติดปากว่า เมนส์ มากกว่าที่จะเรียกว่า ประจำเดือน หรือ ระดู ในภาษาไทยดั้งเดิมของเรา

ก่อนมีประจำเดือนสัก สองสามวัน หรือหากยาวหน่อยอาจเป็นสัปดาห์ ผู้หญิงส่วนใหญ่ซึ่งอาจถึงร้อยละ 90 จะมีอาการไม่สบายทั้งทางร่างกายและทางอารมณ์ ภาษาทางการแพทย์เรียกอาการกลุ่มนี้ว่า พรีเมนสทรูอัล ซินโดรม (premenstrual syndrome) หรือ พีเอ็มเอส (PMS) แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า อาการก่อนมีประจำเดือน

อาการในกลุ่มนี้มีตั้งแต่อาการเบาๆ เช่น อารมณ์หงุดหงิด ขี้โมโห ปวดศีรษะ ปวดท้องที่เรียกกันว่าปวดท้องเมนส์ หรือปวดประจำเดือน จนกระทั่งรุนแรงถึงระดับพยายามฆ่าตัวตาย ซึ่งอาการในลักษณะหลังนี้เกิดขึ้นได้น้อยรายอาการก่อนมีประจำเดือน อาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

กลุ่มแรก อาการป่วยทางอารมณ์ ได้แก่ หงุดหงิด ขี้โมโห เครียด คิดมาก กังวล ท้อแท้ หลงลืม บางคนอาจมีอารมณ์แปรปรวนมากกว่านี้ เช่น ซึมเศร้า เพ้อ คลุ้มคลั่ง หรืออาจทำร้ายตัวเอง

กลุ่มอาการที่สองคืออาการป่วยทางร่างกาย ได้แก่ อาการปวดหรือเจ็บตามบริเวณต่างๆ เช่น เจ็บทรวงอก ต่อมน้ำนม หรือหัวนม เรียกอาการนี้ว่าแมสทัลเจีย (mastalgia) นอกจากนี้ยังมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหลัง บวม ท้องอืด วิงเวียนศีรษะ เป็นสิว อ่อนเพลีย

กลุ่มอาการที่สามคืออาการเปลี่ยน แปลงทางกายภาพ เช่น หน้าท้องขยาย ร่างกายสะสมน้ำเพิ่มขึ้น ทำให้น้ำหนักเพิ่ม ผู้หญิงบางคนอาจมีน้ำหนักเพิ่มได้ถึง 1-2 กิโลกรัมในช่วงก่อนมีประจำเดือน หลังจากนั้นน้ำหนักจะลดลงได้เอง

อาการไม่สบายขณะมีรอบเดือนพบได้หลากหลายกว่า 150 ชนิด แบ่งเป็น 5 กลุ่มใหญ่ รายละเอียดมีอะไรบ้าง มาลองดูกันค่ะ

1.เจ้าน้ำตา

ลักษณะอาการ
หดหู่ ร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ ตัดสินใจอะไรยาก สับสนและหลงลืมบ่อย ๆ นอนไม่พอ เหนื่อยง่าย รู้สึกเหมือนไม่ได้พักผ่อน
วิธีบำบัด
ดูแล โภชนาการให้ดี บริโภคอาหารที่มีไขมันต่ำให้มากขึ้น เพราะเกลือและไขมันที่สูงจะไปเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ทำให้เกิดอาการ เช่นนี้ นอกจากนี้ควรหาเวลางีบเมื่อรู้สึกเหนื่อย ทำสมาธิหรือเล่นโยคะ บริโภคแร่ธาตุที่จำเป็นให้มากขึ้นในช่วงนี้ คือ สังกะสี (Zinc) เนื่องจากสังกะสีจะช่วยลดอาการเศร้า หดหู่ได้

2.ขี้โมโห


ลักษณะอาการ
หมด ความอดกลั้นจนระเบิดอารมณ์บ่อย ๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย อารมณ์แปรปรวนจนตามไม่ทัน วิตกกังวลกว่าปกติที่เคยเป็น หุนหัน ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดบ่อย ๆ รู้สึกสูญเสียโดยไม่มีสาเหตุ
วิธีบำบัด
บริโภค อาหารมื้อเล็ก ๆ แต่บ่อยครั้งขึ้น อาการนี้เกิดขึ้นเพราะขาดน้ำตาลในเลือดทำให้หงุดหงิดง่าย การออกกำลังกาย เช่น การเดิน หรือ การปั่นจักรยาน จะช่วยให้ร่างกายปล่อยเอ็นดอร์ฟินทำให้อารมณ์ดีขึ้น รวมทั้งควรบริโภควิตามินบี 6 และอย่าลืมบอกกล่าวคนใกล้ตัวด้วย เขาจะได้พร้อมที่จะให้อภัย

3.ท้องอืด


ลักษณะอาการ
อาจ มีความรู้สึกว่าเต้านมบวมและนุ่มกว่าเดิม เหมือนเนื้อเหลวเช่นเดียวกับหน้าท้อง บางรายอาจมีอาการเต้านมคัด ตึง น้ำหนักขึ้น มือเท้าบวมจนสังเกตได้ มีอาการบวมน้ำตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หน้าท้องป่องออกมากกว่าปกติ
วิธีบำบัด
ควรลดการบริโภคเกลือลง ออกกำลังกายให้ได้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 20 นาที เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย อาหารที่มีโปรตีนและไฟเบอร์สูงจะช่วยให้หน้าอกกระชับขึ้น เช่นเดียวกับวิตามินบี 6 และ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสที่ช่วยแก้ปัญหาหน้าอกนุ่มเหลวได้ แต่ก่อนบริโภคน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ต้องแน่ใจก่อนนะคะว่าคุณไม่มีก้อนเนื้อผิดปกติอยู่ภายในร่างกายเพราะน้ำมัน อีฟนิ่งพริมโรสจะกระตุ้นให้ก้อนเนื้อมีขนาดโตขึ้นได้ และหากมีอาการท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย ควรงดการดื่มกาแฟและแอลกอฮอล์ก่อนมีรอบเดือนไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์


4.ไม่มีแรง


ลักษณะอาการ
ไม่ มีแรง ใจสั่น อารมณ์อ่อนไหวง่าย ร่างกายเจ็บปวดบ่อยโดยไม่มีสาเหตุ ขาดความกระตือรือร้นทางเพศ มีปัญหาเกี่ยวกับผิวในช่วงที่มีรอบเดือน เช่น สิว ฝ้า ปวดศีรษะ ปวดหลัง
วิธีบำบัด
การ ที่ผิวมีปัญหา ร่างกายเจ็บปวด หรือเป็นตะคริว เกิดจากการผันแปรของฮอร์โมนเพศ ดังนั้นควรงดอาหารหวานจัด แอลกอฮอล์ บุหรี่ และสารกระตุ้นทุกชนิด ควรเดินออกกำลังอย่างน้อยวันละ 30 นาที รวมทั้งบริโภควิตามินเอ เพื่อช่วยรักษาสภาพผิว หรือน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ซึ่งมีกรดแกมมาไลโนเลอิก ที่ช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมนได้ แต่อย่าลืมเรื่องของเนื้องอกที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้นะคะ


5.หิวบ่อย


ลักษณะอาการ
จะ รับประทานมากกว่าปกติ อยากอาหารหวานจัด เช่น เค้ก หรือ ช๊อกโกแลต อาหารเค็ม เช่น พิซซ่า หรือ พวกถั่วอบเกลือ และมีอาการเวียนศีรษะบ่อย ๆ
วิธีบำบัด
สาเหตุ ของอาการหิวบ่อยเกิดจากการที่สารเซโรโทนินลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนมีรอบ เดือน ทำให้ต้องการคาร์โบไฮเดรตมากกว่าปกติ เพื่อให้ร่างกายใช้ของหวานไปเพิ่มสารนี้ ควรควบคุมโภชนาการให้ถูกต้องและหากิจกรรมอื่นทำบ้าง จะได้ไม่คิดถึงแต่เรื่องกินตลอดเวลา หรือไม่ก็รับประทานเป็นผลไม้แทน

บาง คนอาจมีอาการปนเปกันมากกว่า 1 กลุ่ม ซึ่งไม่ถือว่าผิดปกติ และหากพบว่าตนเองมีอาการอยู่ในกลุ่มใดก็บำบัดให้ถูกต้องจะไม่ได้ต้องทรมาน กันทุก ๆ เดือน แต่อาการเหล่านี้เป็นอาการเพียงชั่วคราว หากคนรอบข้างเข้าใจ ให้กำลังใจ เชื่อว่าสาว ๆ ทุกคนคงผ่านช่วงเวลาดังกล่าวไปได้ไม่ยากเลยค่ะ

หากได้ลองสอบถามแพทย์ ว่าเพราะอะไรผู้หญิงจึงได้มีอาการก่อนมีประจำเดือน แพทย์หลายคนจะตอบว่าเป็นเพราะสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ โดยเชื่อกันว่ามีฮอร์โมนอยู่สองชนิดที่น่าจะเกี่ยวข้องกับอาการนี้ นั่นคือ ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน (Progesterone) และ โพรแลกติน (prolactin)

ก่อน มีประจำเดือน ฮอร์โมนของเพศหญิงทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีระดับสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายเช่นนี้มีผลทำให้เกิดอารมณ์หงุดหงิด ขี้โมโห รวมทั้งอีกสารพัดอาการ หลายต่อหลายคนจึงทึกทักเอาว่าลักษณะอารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์ของผู้หญิง ซึ่งไม่ยุติธรรมต่อเพศหญิงนัก

แต่ก็มีแพทย์อยู่บางส่วนที่ไม่เชื่อ ว่าอาการก่อนมีประจำเดือนเกี่ยวข้องกับสมดุลของฮอร์โมน ทั้งนี้ก็เพราะหากทดลองฉีดฮอร์โมนกลุ่มนี้เข้าร่างกายของผู้หญิงในยามที่เธอ ไม่มีประจำเดือน จะพบว่ามีไม่กี่คนที่เกิดอาการก่อนมีประจำเดือน ดังนั้นอาการก่อนมีประจำเดือนจึงน่าจะเกี่ยวข้องกับการมีประจำเดือนมากกว่า ที่จะเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน

อะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงของอาการก่อนมี ประจำเดือนจึงยังไม่มีใครรู้แน่ชัด แพทย์บางส่วนเชื่อว่าอาการก่อนมีประจำเดือนเป็นอาการทางจิตเกิดขึ้นจากความ กังวลในเรื่องการมีประจำเดือนมากกว่า ผู้หญิงหลายคนห่วงเรื่องความปกติและไม่ปกติของการมีรอบเดือนค่อนข้างมาก ความกังวลนี่เองที่มีผลทำให้เกิดอาการก่อนมีประจำเดือนขึ้น แต่ความเห็นเช่นนี้ก็ยังไม่มีข้อยุติ

อาหารสำหรับผู้มีประจำเดือน

นัก โภชนาการบางคนเชื่อว่าอาการก่อนมีประจำเดือนเกิดกับคนที่มีภาวะโภชนาการไม่ ดี ความเชื่อเช่นนี้ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ แต่จะอย่างไรก็ตาม การได้รับอาหารอย่างถูกต้องน่าจะช่วยบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือนได้บ้าง มีอาหารเสริมสุขภาพชนิดหนึ่งที่มักนิยมแนะนำให้ผู้หญิงก่อนมีรอบเดือนรับ ประทานอาหารเสริมที่ว่านี้คือ

น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส
Evening Primrose Oil (EPO)

ชื่อวิทยาศาสตร์: Oenothera biennis L.

ชื่อสามัญ: night willow-herb, scabish, sun drop

ข้อมูล ทั่วไป: เมื่อนึกถึงกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า-6 (Omega-6) ผู้ คนส่วนใหญ่ก็มักจะคิดถึงน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสก่อนเสมอ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสสกัดได้จากเมล็ดของต้นอีฟนิ่งพริมโรส ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นในแถบอเมริกาเหนือ และปัจจุบันสามารถปลูกได้ในทวีปยุโรปและเอเชีย มีคนกล่าวขานกันว่าอีฟนิ่งพริมโรสเป็นพืชแก้ไข้ หรือราชาแห่งการรักษาทุกชนิด (King's cure all) ชื่อของมันบ่งบอกถึงลักษณะการบานของมัน คือบานในตอนเย็นแล้วก็ร่วงโรยไปในวันนั้นเอง

อี ฟนิ่งพริมโรสมีการปลูกกันและนำน้ำมันจากเมล็ดมาใช้ในการทำยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เสริมเป็นสารอาหาร และประยุกต์ใช้ในทางโภชนาการด้านต่างๆ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสเป็นหนึ่งในตำรับยารักษาโรคที่ใช้กันมากว่า 20 ปีแล้ว ชนพื้นเมืองของอเมริกาใช้น้ำมันดังกล่าวเป็นยารักษาอาการไอเพราะหอบหืด โรคในกระเพาะอาหารและลำไส้ และแผลถลอก จาก การค้นคว้าวิจัยทั้งหลายพบว่า น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสเป็นแหล่งอาหารชั้นดี ที่อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นชนิดไม่อิ่มตัวที่เรียกว่า กรดแกมมา-ไลโนลินิค (เรียกย่อๆว่า : จี แอล เอ ) ปริมาณจี แอล เอ ที่พบในน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสมีอยู่ราว 8-14 % แกมมาไลโนลินิค เป็น วัตถุดิบในการสร้าง Prostaglandins (PGE1 , PGE3) ซึ่งออกฤทธิ์ลดการอักเสบตามร่างกาย และช่วยขยายหลอดเลือด จึงเชื่อกันว่าช่วยลดอาการอักเสบได้บ้าง และยังพบกรดไลโนเลอิค (หรือ แอล เอ) อยู่อีก 65-80% กรดไลโนเลอิคเป็นองค์ประกอบในชั้นไขมันของผิวหนัง ถ้าขาดจะทำให้ผิวแห้ง เป็นขุย หยาบกร้าน อักเสบได้ง่าย

ส่วนที่ใช้: เมล็ด
ประโยชน์: น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ถูกใช้ในการรักษาโรคและภาวะผิดปกติต่างๆ ซึ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับการมีสาร จี แอล เอ คุณภาพสูงอยู่นั้นเอง ดังนั้นน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจึงถูกใช้เป็นสารอาหาร เพื่อเสริมในการเจ็บป่วยหลายกรณี เช่น
- อาการปวดในช่วงก่อนและระหว่างมีประจำเดือน รวมทั้งอาการปวดหน้าอก (Premenstrual Tension)
- อาการปวดข้อรูมาตอยด์
- โรคผิวหนังเอคซีม่า และโรคความผิดปกติเกี่ยวกับผิวหนัง (Seborrhea Disease)
- อาการของโรคเบาหวานที่มีผลต่อปลายประสาท (Diabetics Peripheral Neuropathy)
- โภชนาการของทารก
- ความชราภาพ
- อาการอักเสบของสิวหัวช้าง (Comedone)
- โรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
- การติดเชื้อไวรัสบางอย่าง
- โรคพิษสุราเรื้อรัง

อาการ เมื่อขาด: จี แอล เอ เป็นกรดไขมันจำเป็นไม่อิ่มตัวชนิดสายยาว ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นต่อการบำรุงรักษาโครงสร้างของเซลล์ให้เป็นปกติ และจำเป็นต่อกระบวนการในการผลิตสารตั้งต้นของโพรสตาแกลนดิน การได้รับกรดไขมันจำเป็นดังกล่าวจากอาหารลดลง หรือการเพิ่มความต้องการของสารตั้งต้นของ โพรสตาแกลนดิน จะทำให้เกิดอาการขาด จี แอล เอได้

ความปลอดภัย: เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการลงความเห็นและยืนยันจากสภาแห่งสุขภาพของออสเตรเลีย (Complementary Healthcare Council of Australia) เพื่อ รับรองว่าน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสปลอดภัยจริง ผลข้างเคียงจากการใช้อีฟนิ่งพริมโรสมีน้อยมากแต่อาจเกิดขึ้นได้คือ อุจจาระเหลว การเรอ และมีอาการบวมในช่องท้อง

ปฎิกริยากับสารอื่น: น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสอาจมีผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงในการชัก เนื่องจากความผิดปกติของระบบประสาทบริเวณขมับในผู้ป่วยชิโซฟรีเนีย (Schizophrenia คือโรคที่มีความผิดปกติทางจิตซึ่งผู้ป่วยมีอาการเก็บเนื้อเก็บตัว หวาดระแวง หรือหมกมุ่นอยู่กับอะไรบางอย่าง) ที่รักษาด้วยยากดอาการชัก เช่น ฟีโนไธอะซีน (phenothiazine) ส่วนปฏิกิริยากับสมุนไพรและยาอื่นนั้นยังไม่พบว่ามีรายงานออกมา

สรรพคุณ ของน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสกับอาการก่อนมีประจำเดือนยังไม่มีข้อยุติ หลายคนยืนยันว่าน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจะช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเพศหญิงได้ เมื่อรับประทานแล้วจะลดอาการเจ็บทรวงอก เจ็บเต้านม ทั้งยังทำให้อาการก่อนมีประจำเดือนลดลงได้ด้วย แต่ขณะเดียวกันคนหลายคนกลับยืนยันว่าการรับประทานน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสไม่ ได้ช่วยอะไรเลย…

นายแพทย์มอร์ส (P. F. Morse) และคณะ ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษชื่อ British Journal of Dermatology เมื่อปี ค.ศ.1989 โดยทดลองให้ผู้หญิงที่มีอาการก่อนมีประจำเดือน รับประทานน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส แล้วดูผลของยาเปรียบเทียบกับยาหลอก (placebo) ที่มีลักษณะเหมือนน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสทุกประการ ผลปรากฏว่าหญิงเหล่านั้นมีอาการดีขึ้นทั้งในกลุ่มที่รับประทานน้ำมันอีฟนิ่ง พริมโรสจริง และกลุ่มที่รับประทานยาหลอก

บ่อยครั้งที่พบว่าผู้หญิง ที่มีอาการก่อนมีประจำเดือน รับประทานยาหลอกแล้วหลายคนมีอาการดีขึ้น จึงทำให้แพทย์บางคนเชื่อว่าอาการก่อนมีประจำเดือนเป็นอาการทางจิตประเภท หนึ่ง ขอเพียงให้รู้สึกว่าตนเองได้รับการรักษาเท่านั้นอาการก็ดีขึ้นได้แล้ว

ดัง นั้นเมื่อเกิดอาการก่อนมีประจำเดือนขึ้น แพทย์และนักโภชนาการบางคนแนะนำให้เสริมวิตามินสักเล็กน้อย ได้แก่ วิตามินบี 6 ก็น่าจะทำให้อาการทางอารมณ์ลดลงได้

ที่สำคัญสำหรับการ รักษาอาการก่อนมีประจำเดือน คือ อย่าลองผิดลองถูกหรือเสาะหาวิตามินปริมาณมากๆ มารับประทาน เพราะจะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์ คำแนะนำที่ดีคือขอให้รับประทานอาหารให้เป็นปกติ งดหรือลดชา กาแฟ ลดอาหารไขมัน หากสามารถเพิ่มอาหารประเภทเนื้อหรือถั่วเพื่อเสริมธาตุเหล็กบำรุงเลือดบ้าง จะช่วยได้มากขึ้น

ผู้ที่ติดเหล้าหรือเป็นเบาหวานอาจต้องระวังเรื่อง อาการก่อนมีประจำเดือนสักหน่อย เพราะคนกลุ่มนี้จะมีเอนไซม์บางตัวในร่างกายทำงานผิดปกติ จึงต้องลดเหล้า ผู้ป่วยเป็นเบาหวานจะต้องควบคุมน้ำตาลในเลือดในช่วงก่อนมีประจำเดือนให้อยู่ ในระดับปกติ จะช่วยลดอาการได้มาก

ผู้ที่เครียดง่าย เครียดบ่อย หรือเป็นคนขี้หงุดหงิดอยู่แล้ว อาจเสริมสารอาหารบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเอนไซม์เพื่อลดอาการ เช่น เสริมวิตามินบี 6 ตามที่กล่าวไว้แล้วด้านบน หรือเสริมธาตุสังกะสี และวิตามินซี ร่วมด้วยก็ได้ แนะนำให้ออกกำลังกาย รับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้น เพิ่มอาหารทะเล พร้อมทั้งงดชา กาแฟ ส่วนใครที่ชอบดื่มเครื่องดื่มชูกำลังก็ขอให้ลดลงในช่วงนี้ และสุดท้ายคงต้องหัดฝึกสมาธิระงับจิตระงับใจไว้บ้าง น่าจะได้ผลดีที่สุด...


รองเท้าส้นสูง เลือกให้สวยและปลอดภัย



วิธีเลือก รองเท้าส้นสูงสำหรับ วัยใส เป็นทริคใส่ให้สวยและถนอมสุขภาพเท้าหากเอ่ยถึงแอ็กเซสซอรี่เสริมบุคลิกสาว มหาลัยแล้ว "รองเท้าส้นสูง"มักเป็นอันดับต้นๆ ที่หลายคนจะ นึกถึง และหยิบมาเป็นตัวช่วยเพิ่มความสง่า แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ ความเหมาะพอดีกับรูปเท้าซึ่งสัปดาห์นี้มีวิธีเลือกรองเท้าส้นสูงมาฝากวัยใส ไว้เป็นทริคไปใส่ให้สวยและถนอมสุขภาพเท้ากัน



+ส้น ไม่สูงเกินไป เพราะสาวๆ จะยืนในลักษณะท่าเขย่ง ต้องทรงตัวให้ตรงหากใส่นานๆ กล้ามเนื้อหลังจะทำงานหนักและอาจเกิดอาการปวดตามมา ดังนั้นระหว่างวันควรเปลี่ยนใส่รองเท้าส้นเตี้ยบ้าง เพื่อพักกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ


+หัว รองเท้าควรดูให้พอดี ไม่ว่าจะหัวมน หัวเหลี่ยม หรือหัวแหลมควรมีพื้นที่ให้เท้าวางได้สบาย หากบีบรัดนิ้วเกินไป เมื่อใส่ไปนานๆจะทำให้รูปนิ้วไม่ตรง บางกรณีอาจพบปัญหารองเท้ากัดเนื่องจากการเสียดสีกับผิวรองเท้าด้านใน



+
เลือก ผิวรองเท้าด้านในที่ใส่สบาย ยืดหยุ่นตามการเคลื่อนไหวอาจเลือกที่มีผ้าบุหรือวัสดุรองรับแรงกระแทกบริเวณ โค้งอุ้งเท้าเพื่อกระจายน้ำหนักที่ฝ่าเท้า ช่วยลดอาการ
ปวดเมื่อย


+ส่วน เทรนด์สี ส้นสูง ซีซั่นนี้ เริ่มที่ สาวผิวขาวนิยมรองเท้าทั้งโทนอ่อนและโทนสด ช่วยขับสีผิวของเท้าให้ดูขาวเรียวขาดูสว่าง ส่วนสาวผิวคล้ำ จะเน้นสไตล์และสีคลาสสิค อย่าง น้ำตาล ดำ กรมท่า นอกจากนี้รองเท้าที่มีดีไซน์แบบเรียบแต่เน้นความโดดเด่นของสีเพียงสีเดียวก็ ยังเป็นที่นิยม เพราะสามารถใส่ได้หลายโอกาส


ทริคคลายเมื่อย!
หลังจากใส่ส้นสูงมาทั้งวัน ลองแช่ด้วยน้ำอุ่น 10-15 นาทีจากนั้นเหยียดงอนิ้วเท้า สลับกับการนวดบริเวณอุ้งเท้าจะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้



ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก

http://women.mthai.com/views_Trend-Fashion_11_50_39241_1.women

ศัลยกรรม สวยสั่งได้!!



สมัย นี้ทุกคนสวยเด้งขึ้นได้ทันใจโดยไม่ต้องรอถึงชาติหน้า ขึ้นอยู่กับว่า "กล้าพอ" หรือเปล่าเอาเป็นว่าก่อนตัดสินใจ ลองอัพเดทข้อมูลใหม่ๆเพื่อหาทางเลือกที่เหมาะกับตัวเราที่สุดดีกว่า




ผิวสวยด้วยการปลูกเซลล์ผิวใหม่และเติมคอลลาเจน

จุดเด่นปกติ การเติมคอลลาเจนให้ผิวสามารถทำได้หลายทาง เช่น การกิน การทา และการฉีดแต่สำหรับ "เทคนิค Fresh Cells"นี้จะช่วยให้คอลลาเจนดูดซึมเข้าสู่ผิวด้านในได้เลยทันทีและเห็นผลเร็ว กว่าวิธีอื่น แต่ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

วิธีการแพทย์ จะเจาะเลือดเราเพื่อเก็บสเต็มเซลล์จากนั้นใช้เครื่องมือแยกเซรั่มที่เป็น โปรตีนชื่อ DNA และ RNAที่ช่วยให้กำเนิดเซลล์ผิวลงไปจากนั้นจึงนำเซรั่มที่ได้ฉีดกลับเข้าในผิว หนังบริเวณที่เราต้องการสร้างคอลลาเจน เช่น ผิวหน้า หลังมือ เนินอก

ข้อดี
- ปลอดภัย เพราะผ่านการทดสอบทางการแพทย์แล้ว
- ส่วนใหญ่ทำเพียงครั้งเดียวก็เห็นผล ทำให้ผิวพรรณแข็งแรง สดใส เปล่งปลั่ง ริ้วรอยต่างๆจางลง

ข้อแนะนำ ในรายที่เป็นโรคเบาหวานรุนแรงและสตรีที่ตั้งครรภ์ไม่ควรทำ

งบประมาณ จุดละประมาณ 40,000 บาทขึ้นไป

Tips
-ก่อนทำควรเตรียมความพร้อมร่างกายให้แข็งแรง เช่น กินอาหารที่มีประโยชน์ในบางรายที่ดูไม่ค่อยสดชื่น แพทย์จะช่วยฉีดวิตามินรวมให้ก่อนทำ
-จำนวนครั้งในการทำขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้า บางรายทำแค่ครั้งเดียวก็พอแล้วส่วนรายที่อายุมากและผิวพรรณไม่ค่อยสดใส อาจจะทำอีกอย่างน้อยประมาณ 2-3ครั้ง

(คุณกนกพร เขมเตชิษฐ์ ประธานกรรมการบริษัท Princess Beauty Center เอื้อเฟื้อข้อมูล)




ทำตาสองชั้นด้วยวิธีเจาะรูเล็กๆ เพียงจุดเดียว

จุดเด่น แผลเล็ก ดูเป็นธรรมชาติมากถึง 99 เปอร์เซ็นต์

วิธีการวัด ขนาดรูปตาและร่างรูปชั้นตาเพื่อกำหนดขนาดให้ดูเป็นธรรมชาติและเหมาะสมที่สุด จากนั้นแพทย์จะกรีดเพื่อเจาะรูที่กึ่งกลางหนังตาเพียงจุดเดียวและเย็บปิดแผล ล็อกชั้นตาทันที (เย็บเพียง 1-2 เข็มเท่านั้น)

ข้อดี
- ไม่ต้องใช้ยาสลบ และใช้เวลาในการทำไม่เกิน 10-20 นาที แต่งหน้าได้ตามปกติทันทีเพราะแผลไม่บวม
- หลังจากนั้นแผลจะหายไว ชั้นตาก็จะเข้ารูปภายใน 2-3 เดือน และไม่ต้องตัดไหม
- คนที่มีตาเล็ก ตาตี่ ตาหมวยแบบคนเอเชีย สามารถทำได้ง่าย

ข้อแนะนำ ราคาค่อนข้างสูง

ข้อควรระวัง
- ห้ามกระทบกระเทือนบริเวณรอบดวงตาภายใน 24 ชั่วโมง เพราะบริเวณนี้เปราะบาง มีเส้นเลือดฝอยอยู่เป็นจำนวนมาก
- ต้องรักษาความสะอาด อย่าขยี้ตาแรงๆ ในช่วงที่แผลยังหายไม่สนิท

To Know วิธีการทำตาสองชั้นแบบเดิมต้องเย็บแผลประมาณ 20 เข็ม




เสริมจมูกโด่งสวยด้วยไขมันหน้าท้อง

จุดเด่นด้วย วิธีนี้จมูกจะโด่งเป็นธรรมชาติ ปลอดภัยแหละหลังจากนำไขมันเข้าไปปลูกใหม่ที่จมูกเลือดบริเวณนั้นจะหล่อ เลี้ยงไขมันจนสมานเป็นส่วนเดียวกันที่สำคัญใช้เวลาในการทำเพียงประมาณ 20 นาที

วิธีการแพทย์ จะเจาะรูตรงสะดือประมาณ 1 เซนติเมตรแล้วหยิบไขมันขึ้นมาชิ้นเล็กๆเท่าปลายนิ้วก้อยใส่เติมเข้าไปในช่อง จมูกที่เจาะรูขนาดประมาณ 1/2 เซนติเมตร ซ่อนไว้ด้านในจากนั้นจึงเย็บปิดแผล

ข้อแนะนำอาจ มีกรณีไขมันบางส่วนละลายไปบ้าง แต่พบน้อยรายโดยไขมันของแต่ละคนจะละลายมากน้อยต่างกันถ้าเป็นคนที่ออกกำลัง กายเป็นประจำไขมันจะแข็งแรงและอยู่ติดทนเช่นเดียวกับคนมีอายุมากเก็เหมาะกับ วิธีนี้เช่นกัน

ข้อควรระวัง ทำแล้วต้องรอประมาณ 3 เดือนกว่าจะอยู่ตัว ต้องรักษาความสะอาด อย่าใช้มือแคะ แกะ เกาในโพรงจมูก

ติดต่อ การทำจมูกและตาแนวใหม่นี้สามารถปรึกษา ติดต่อ และขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า โทร.08-9223-8444

(นพ.ชลทิศ สินรัชตานนท์ เอื้อเฟื้อข้อมูล)




งานนี้คนผมบางมีเฮ

จุดเด่นวิธี นี้เรียกว่า Follicular Unit Transplantationทำได้โดยผ่าหนังศีรษะบริเวณท้ายทอยเพื่อนำเซลล์เส้นผมของตัว เองมาจิ้มปลูกจุดต่อจุด และกำหนดแนวเส้นผมได้ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด

ข้อดี
-ร่างกายไม่ต่อต้านเพราะใช้เซลล์ผมของตัวเองและผู้เข้ารับการปลูก ผมจะได้เส้นผมใหม่ที่แข็งแรงเพราะเส้นผมบริเวณท้ายทอยเป็นส่วนของเซลล์เส้น ผมที่แข็งแรงที่สุดในร่างกาย
- เส้นผมที่ปลูกใหม่สามารถเจริญเติบโตตามวงจรธรรมชาติได้ และตัดแต่งทรงผมได้ตามปกติ
-แทบไม่มีรอยแผลตรงจุดที่ปลูกผมใหม่ เพราะเข็มที่ใช้จิ้มวางเล็กแค่ 1.3-1.5มม.นอกจากนี้การใช้เข็มจิ้มและวางเซลล์ผมบนหนังศีรษะจะช่วยกระตุ้น ให้เลือดมาหล่อเลี้ยงเส้นผมมากขึ้น

ข้อแนะนำ
- อาจเห็นรอยแผลบริเวณท้ายทอยคล้ายรอยมีดบาดในช่วงเดือนแรก
- อาจมีอาการชาที่หนังศีรษะบริเวณท้ายทอยเล็กน้อยในช่วง 1-3 เดือนแรกหลังทำ

ข้อจำกัด ผู้ที่มีโรคประจำตัว ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจที่ควบคุมไม่ได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

งบประมาณ ตั้งแต่ 60,000 - 200,000 บาท

ติดต่อ
- โรงพยาบาลรามาธิบดี แผนกโสตฯ สาขาศัลยกรรมตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า โทร. 0-2201-1138 ต่อ 1125
- คลินิก Bangkok Facial Plastic (จำรูญคลินิก) โทร.0-2243-7301




ปรับขากรรไกร-แก้ไขโครงหน้าให้เข้ารูป

คนที่มีปัญหาเรื่องแนวฟันและขากรรไกรจนส่งผลให้รูปหน้าดูผิดปกติสามารถแก้ไข ได้ โดยพึ่งพาทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและวัสดุอุปกรณ์ที่ทันสมัย

ในปัจจุบันบ้านเรานิยมใช้ไทเทเนียมเพื่อทำศัลยกรรมในช่องปากแต่ล่าสุดก็ได้ มีการนำวัสดุทันสมัยอย่างพอลิเมอร์ซึ่งสามารถละลายได้เองภายใน 6 เดือนมาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยจัดรูปเหงือกและฟันให้เข้าที่สวยงามด้วย

นอกจากนี้วิวัฒนาการสมัยใหม่ยังทำให้ผ่าตัดปรับโครงหน้า/ขากรรไกรภายในช่อง ปากได้ จึงหมดปัญหาเรื่องแผลเป็นภายนอกมากวนใจแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก่อนการผ่าตัดขา กรรไกรผู้ที่เข้ารับการรักษาต้องเข้ารับการจัดฟันก่อนการผ่าตัด 1-1 1/2 ปีและหลังจากผ่าตัดแล้ว ต้องจัดฟันต่ออีกประมาณ 5-6 เดือน แล้วแต่กรณี

ระยะเวลาในการทำ ประมาณ 2-3 ชั่วโมง

งบประมาณ โรงพยาบาลรัฐบาล เคสละประมาณ 40,000 -60,000 บาท โรงพยาบาลเอกชน เคสละประมาณ 120,000 - 150,000 บาท

สถานที่ โรงพยาบาลตำรวจ แผนกทันตกรรม หน่วยศัลยกรรมช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล โทร.0-2207-6000 ต่อ 6744



ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ในสกู๊ปพิเศษ
No.637 (16 AUGUST 2009)



http://women.mthai.com/views_Women-Variety_11_49_39312_1.women

7 เคล็ดลับสุขภาพฉาบสีรุ้ง

พลังของสีมีอิทธิพลต่อเราผ่านต่อมไพเนียลที่มีปฏิกิริยาในการตอบสนอง ส่งผลให้ความรู้สึก จิตใจ ฮอร์โมน และอารมณ์ในร่างกายของเราในขณะนั้นแตกต่างกันตามเฉดและความยาวคลื่นที่กระทบ โสตสัมผัส แนวคิดนี้ได้กระตุ้นให้นักจิตวิทยานำพลังแต่ละสีมาปรับใช้เพื่อบำบัดอาการ เจ็บป่วยต่างๆ ของร่างกายและจิตใจให้กับผู้ป่วยมากมายในปัจจุบัน โดยเรียกศาสตร์แห่งการรักษานี้ว่า สีบำบัด หรือ Color Therapy สามารถแบ่งชนิดหรือโทนสีออกเป็นกลุ่มสีโทนร้อน เป็นกลุ่มสีที่ทำให้เกิดความรู้สึกมีพลัง เร่าร้อน กระตือรือร้น และกระฉับกระเฉง ในทางจิตวิทยาความแรงของสีโทนร้อนจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากอาหาร ทำให้เกิดความรู้สึกหิวและกระตุ้นให้มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ และกลุ่มสีโทนเย็น เป็นกลุ่มสีที่ให้ความรู้สึกสดชื่น สงบ ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ และไม่ทำให้เครียด สีโทนเย็นจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องทำงานหนัก และใช้ความคิดเป็นอย่างมาก

ออกกำลังกาย

นอกจากผลทางจิตใจ ผลทางร่างกาย คืออีกหนึ่งความมหัศจรรย์ที่กำลังได้รับความสนใจ เพราะสามารถเยียวยาอาการร่างกายทั้งภายนอกและ ภายในที่ควบคุมด้วยต่อมใต้สมอง และฮอร์โมนต่างๆ อีกมากมาย และยิ่งเมื่อนำมาผสานรวมกับศาสตร์แห่ง แร่ธาตุอันเป็นความเชื่อ โบราณก็ยิ่งน่าพิศวง และนี่คือวิธีการเลือกใช้สี อัญมณี และศาสตร์บำบัดที่คุณสามารถศึกษาและทดลองได้ด้วยตัวเอง


พลังซ่อนเร้น : สีเขียวให้ความรู้สึกร่มเย็น สบายตา ผ่อนคลาย ปลอดภัย ทำให้เกิดความหวังและความสมดุล


รัศมีบำบัดโรค : พลังของสีเขียวสามารถทำให้ประสาทตาผ่อนคลายและความดันโลหิตของเราลดลงได้ ทั้งยังช่วยผ่อนคลายระบบประสาท ป้องกันการจับตัวของก้อนเลือด ต่อต้านเชื้อโรค รักษาอาการของคนเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เยื่อบุอักเสบ หากเกิดอาการแน่นหน้าอก คัดจมูก ให้คุณลองหายใจเอาสีเขียวเข้าสู่ร่างกายโดยการเพ่งไปยังวัตถุที่มีสีเขียว คุณจะรู้สึกว่าปอดของคุณขยายตัว และหายใจได้สะดวกมากขึ้น ถ้าคุณมีเวลามากพอ ขอแนะนำให้คุณไปพักผ่อนตามสวนสาธารณะหรือตามชานเมือง


อัญมณีบำบัดโรค : ทัวร์มาลีน-เขียว เป็นหินที่มีพลังในการรักษาอาการยุบบวม แก้อาการอักเสบ รักษาอาการเจ็บคอได้ดี


พลังซ่อนเร้น : สีน้ำเงิน เป็นสีที่สร้างความเยือกเย็น คลายความเหงา และกระตุ้นแรงบันดาลใจการแสดงออกทางศิลปะ

รัศมีบำบัดโรค : พลังของสีน้ำเงินทำให้ระบบหายใจเกิดความสมดุลและแข็งแรงขึ้น ใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง การรับพลังของสีน้ำเงินอาจทำได้ด้วยการสวมเสื้อผ้า หรือชุดชั้นในสีน้ำเงิน ที่ปกคลุมร่างกายช่วงอกซึ่งเกี่ยวกับระบบหายใจ และนับลมหายใจ หรือทำสมาธิโดยการเพ่งวัตถุสีน้ำเงิน หรือนึกภาพจุดสีน้ำเงิน ประสานไปกับการลากลมเข้าออก

อัญมณีบำบัดโรค : ลาปิส ลาซูลี ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ปวดศีรษะ ปวดประสาทอย่างรุนแรง


พลังซ่อนเร้น : สีฟ้าเป็นสีที่ให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็น เป็นอิสระ ปลอดโปร่ง สบาย ปลอดภัย ใจเย็น และระงับความกระวนกระวายในใจได้ดี

รัศมีบำบัดโรค : พลังของสีฟ้ามีคุณสมบัติในการรักษาอาการของโรคปอด ลดอัตราการเผาผลาญพลังงาน รักษาอาการเจ็บคอ และทำให้ชีพจรเต้นเป็นปกติ สีฟ้าเป็นสีที่เย็นทำให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย ใช้ในการรักษาไข้ สีฟ้ามีคุณสมบัติในการลดความร้อนและอาการอักเสบต่างๆ เช่น รอยไหม้ที่เกิดจากแดดเผา เป็นต้น สีฟ้าจะช่วยลดอาการตึงเครียด อาการปวดศีรษะ บรรเทาอาการต่างๆ ที่เกิดจากกล่องเสียง เช่น อาการไอ ต่อมทอนซิลอักเสบ คออักเสบ และเสียงแหบ และลดอาการสะอึกได้ หญิงสาวในขณะที่มีประจำเดือนจะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนลงได้ โดยสวมชุดนอนสีฟ้า กางเกงในสีฟ้า เสื้อคลุมอาบน้ำสีฟ้า ผ้าเช็ดตัวสีฟ้า หรือนอนในห้องนอนสีฟ้า

อัญมณีบำบัดโรค : เทอร์ควอยซ์ ช่วยขจัดความสับสนวุ่นวาย ช่วยสมานแผลที่เกิดจาก ความร้อน


พลังซ่อนเร้น : สีแดงเป็นสีที่กระตุ้นระบบประสาทของเราได้รุนแรงที่สุด ให้ความรู้สึกเร้าใจ ตื่นเต้น ท้าทาย และ ตื่นตัว

รัศมีบำบัดโรค : สีแดงมีผลต่อร่างกาย ช่วยให้ฮอร์โมนอะดรีนาลินทำงานได้ดี สร้างฮีโมโกลบินให้กับเซลล์เม็ดเลือดแดง และช่วยให้ระดับความดันโลหิตเป็นปกติ ทำให้ร่างกายอบอุ่น กระตุ้นระบบประสาทให้ตื่นตัว ลดอาการเฉื่อยชา และรักษาอาการซึมเศร้า มีประโยชน์ มากสำหรับผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ เมื่อคุณไม่สบายหรือรู้สึกหนาว ให้คุณใส่ถุงเท้า ผ้าพันคอ หรือเสื้อสีแดง จะช่วยให้คุณรู้สึกอบอุ่นขึ้น หรือกำหนดลมหายใจ ทำสมาธิ และเพ่งไปยังวัตถุสีแดง

อัญมณีบำบัดโรค : ทับทิม ใช้ลดไข้ สามารถลดได้ประมาณ 0.5-0.7 องศาเซลเซียส มีความเชื่อว่า เวลาเด็กมีไข้ให้เอาทับทิมใส่มือเด็กเล็กกำไว้ ไข้จะลด


พลังซ่อนเร้น : สีเหลืองช่วยให้ระบบการทำงานของน้ำดีและลำไส้เป็นปกติ ช่วยปรับสมดุล ของระบบทางเดินอาหาร

รัศมีบำบัดโรค : มีผลต่อร่างกายช่วยให้ระบบประสาท กล้ามเนื้อหัวใจ และระบบหมุนเวียนโลหิตทำงาน ได้ดี ช่วยกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น ตับ กระเพาะปัสสาวะ ทำให้การหลั่งน้ำย่อยทำงานได้ดี ลดอาการท้องผูก บรรเทาอาการปวดตามข้อ ช่วยให้ แคลเซียมส่วนเกินที่เกาะอยู่ตามข้อต่อสลายตัว กระตุ้นการทำงานของตับและไต ช่วย ขับเมือกต่างๆ ออกจากร่างกาย ทำให้หลอดเลือดสะอาด การรับสีเหลืองเข้าสู่ร่างกายทำได้โดยนั่งสมาธิเพ่งไปยังวัตถุที่เป็นสี เหลือง หรือนั่งตากแดดอ่อนๆ ยามเช้า

อัญมณีบำบัดโรค : ซิทริน มีสีเหลือง คล้ายๆ บุษราคัม แต่เนื้อหินอ่อนกว่าบุษราคัม สามารถแก้ท้องอืด ด้วยการเอาไปแช่น้ำดื่ม หรือทำเป็นเข็มขัดคาดเอว


พลังซ่อนเร้น : สีส้มเป็นสีแห่งความสร้างสรรค์ อบอุ่น สดใส มีสติปัญญา ความทะเยอทะยาน เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

รัศมีบำบัดโรค : สีส้มมีประโยชน์ต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้หายใจได้คล่องขึ้นและลึกขึ้น สีส้มจะมีผลต่อภาวะจิตใจ ระบบประสาท ระบบการหายใจ สีส้มเป็นสีที่ให้แคลเซียม ดังนั้น หญิงมีครรภ์หรือมารดาที่ให้นมบุตรจะได้รับคำแนะนำให้ใช้สีส้มเพื่อกระตุ้น การหลั่งของน้ำนม ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง การรับสีส้มเข้าสู่ร่างกายทำได้โดยการสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีส้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงกลางลำตัวจนถึงช่วงขา เนื่องจากสีส้มจะส่งผล ต่อการทำงานของกระเพาะอาหาร ตับอ่อน กระเพาะปัสสาวะ และปอด ช่วยไล่ลม และขับแก๊สออกจากร่างกาย


อัญมณีบำบัดโรค : คามิเลียน ลักษณะหินขุ่นสีเป็นสีน้ำผึ้ง ใช้แก้ไอ คล้ายกับทัวร์มาลีน ต่างกันตรงที่แก้อาการยุบบวมไม่ได้



พลังซ่อนเร้น : สีม่วงช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย กระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ และสร้างความสงบใน จิตใจได้เป็นอย่างดี

รัศมีบำบัดโรค : สีม่วงช่วยเยียวยาสมองที่ถูกกระทบกระเทือน โรคลมบ้าหมู และอาการผิดปกติทางประสาทหรือจิตใจ เช่น ความผิดปกติที่เกิดจากความกดดัน และอาการทรงตัวไม่อยู่ นอกจากนั้นยังช่วยบรรเทาอาการปวดประสาท บรรเทาอาการที่เกิดกับตา หู จมูก ถ้าสายตาของคุณอ่อนล้าจากการดูทีวีหรือจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ให้พักสายตาประมาณ 15 นาที จากนั้นเพ่งไปยังวัตถุที่เป็นสีม่วงจะช่วยให้การเคลื่อนไหวของตาและสายตา แข็งแรงขึ้น


อัญมณีบำบัดโรค :อะเมทิสต์-หินสีม่วง มีเส้นแรงเหนี่ยวนำทำให้ระบบประสาทสงบลง แต่ถ้าเวลานอนต้องเอาไว้ใต้หมอนจะทำให้หลับสนิทสบายขึ้น


  • GM group โดย GM group

โครงสร้างร่างกายมีผลต่อการปวดประจำเดือน

ในหนึ่งเดือนของผู้หญิงวัยเจริญพันธ์จะมีช่วงที่ร่างกายและจิตใจเปลี่ยนแปลง ค่อนข้างมาก นั่นคือ ช่วงที่มีประจำเดือน ช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อร่างกายมากพอสมควร เพราะภูมิต้านทานต่ำมากกว่าปกติ ระบบข้อต่อ กระดูก กล้ามเนื้อมีการคลายตัวมากเกินไป ทำให้ข้อต่อ กล้ามเนื้อหลวม ซึ่งหากแข็งแรงไม่พอจะทำให้ร่างกายไม่สามารถต้านอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อมีภาวะนี้ เพ็ญพิชชากร แสนคำ นักกายภาพบำบัด สถาบันปรับโครงสร้างร่างกายอริยะ กล่าาวว่า ในช่วงมีประจำเดือนระบบกระดูกกล้ามเนื้อของอุ้งเชิงกราน หน้าท้อง ขา แข็งแรงหรือมีความทนทานไม่มากพอจะถูกยืดยาวออก หลวมตัวมากไป ทั้งข้อต่อและกล้ามเนื้อ ไม่เพียงพอที่จะพยุงร่างกายให้ต้านกับแรงโน้มถ่วงหรือไม่ทนทานต่อการใช้ กล้ามเนื้อในการทำกิจวัตรประจำวันในช่วงนั้นของเดือนได้ เมื่อเจอภาวะเช่นนี้ร่างกายจะมีกลไกบอกความเปลี่ยน แปลงที่เกิดขึ้น นั่นคืออาการเจ็บปวดต่างๆ ซึ่งแตกต่างกันออกไปแล้วแต่สภาวะแต่ละส่วนของร่างกาย ความไม่ทนทานหรือความไม่แข็งแรงของกระดูกกล้ามเนื้อนี้จัดได้ว่าเป็นส่วนของ โครงสร้างร่างกายที่ไม่สมดุลด้วย สุขภาพ, ปวดท้อง, เมนส์, ประจำเดือน ระบบกระดูกกล้ามเนื้อคือระบบโครงสร้างร่างกาย มีความสำคัญเสมือนเสาหลักของร่างกาย เป็นศูนย์รวมของเส้นประสาท ระบบหลอดเลือด ระบบน้ำเหลือง เหล่านี้เป็นส่วนที่ประกอบขึ้นมาให้ร่างกายอยู่ได้ หลังช่วงล่างเป็นทางออกของรากประสาทที่มาควบคุมอวัยวะภายในช่องท้องทั้งหมด รวมถึงมดลูกด้วย ฉะนั้น หากกล้ามเนื้อหน้าท้อง อุ้งเชิงกราน สะโพกและขาไม่แข็งแรงพอทั้งจากการไม่ได้ออกกำลังกาย หรือออกกำลังกายไม่ถูกต้องหรือเกิดจากการสะสมของไขมันมากเกินไป จะส่งผลให้หลังแอ่นและมีผลให้การควบคุมการทำงานของอวัยวะในช่องท้องลดลง

การดูแลเบื้องต้นนักกายภาพ บำบัดแนะนำว่า

1.สิ่งที่ดีที่สุดคือการออกกำลังกายสม่ำเสมอ
โดยเฉพาะท่า บริหารหน้าท้องและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานง่ายๆ คือแขม่วท้องขมิบก้นให้เป็นกิจวัตรจนเคยชิน ก็ถือเป็นการบริหารที่ดีมากแล้ว แต่ต้องทำจนเคยชิน

2.ในช่วงที่เป็นและมีอาการ สิ่งที่จะช่วยได้คือเอาความร้อนประคบ เช่น แผ่นร้อนไฟฟ้า ถุงน้ำร้อน วางบนหน้าท้องหรือบริเวณที่มีอาการ เช่น หลัง ก้น ต้นขา แต่ก่อนวางต้องมีผ้าเช็ดตัววางก่อนถึงผิวสัก 1-2 ชั้น แล้วค่อยวางเพื่อให้ความร้อนค่อยๆ ซึมเข้าด้านใน และจะได้ไม่แสบผิว

3.การกินอาหาร ในช่วงที่เป็นควรเลือกอาหารอ่อน เน้นผักผลไม้ เพราะแป้งและเนื้อสัตว์จะส่งผลให้การทำงานของอวัยวะในช่องท้องยิ่งบีบตัว อาจทำให้มีอาการปวดมากขึ้น อาหารบางอย่างก็ไม่ควรกิน เช่น น้ำมะพร้าว และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลืองเพราะอาหารดังกล่าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่จะ ไปสกัดกั้นการขับระดู

4.ในช่วงที่เป็นควรหลีกเลี่ยงภาวะที่ต้องยืนหรือเดินนานๆ ให้หาที่นั่งจะดีกว่า

5.งดการใส่ส้นสูงในช่วงที่เป็น เพราะการใส่ส้นสูงจะทำให้ข้อต่อที่หลัง สะโพก เข่า และข้อเท้าต้องเสียดสีกันมากขึ้น เพราะในช่วงนี้ร่างกายและข้อต่อจะหลวมมากกว่าปกติ

6.หากเป็นไปได้ควรหาซัพพอร์ตหลัง หรือกางเกงที่ช่วยพยุงกล้ามเนื้อสะโพกและขา แต่ต้องเป็นกางเกงที่พยุงได้จริงนถึงจะช่วยบรรเทาอาการได้จริง

7. สิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้คือทำจิตใจให้สบาย ช่วงนี้จะหงุด หงิดมากกว่าธรรมดา ทุกครั้งที่หงิดหงุดก็หามุมสักมุมให้ตัวเองนั่งเอนหลังหลับตาหายใจเข้าลึกๆ เอาจิตอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกสัก 4-5 นาที

ถ้าทำได้เช่นนี้จะไม่ทรมานหรือเป็นกังวลกับวันนั้นของเดือน หากต้องการทราบรายละเอียดหรือคำแนะนำเพิ่มเติม ปรึกษานักกายภาพบำบัดที่เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างร่างกายได้ที่สถาบันปรับโครง สร้างร่างกายอริยะ ตึกไลฟ์เซ็นเตอร์ สาทร 0-2677-7166-7

  • นสพ. ข่าวสด โดย นสพ. ข่าวสด

วิธีบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน

ท่าที่1  
นั่งหลังตรงบนเก้าอี้ ปล่อยขาทํามุม 90 องศากับพื้น ตามสบาย จากนั้นพยายามกางขาออกให้กว้างมากที่สุด เท่าที่จะทําได้  ค้างไว้ นับ1-10 แล้วกลับสู่ท่าเรื่มต้น ทําซํ้าซัก5ครั่ง
ท่าที่2  

หมุนบั้นเอวจากซ้ายไปขวา แล้วสลับหมุนจากขวาไปซ้ายข้างละสิบครั้ง เช้า-เย็น
ท่าที่3 

ท่านี้คือ''ท่าแมว''ในการฝึกโยคะนั่นเอง ทําง่ายๆดังนี้

1. คุกเข่า โก้งโค้ง เอามือยันพื้น แขนเหยียดตรง ขาแยก ห่างกันพอสมควร ตามองตรง

2. หายใจเข้า โก่งหลังขึ้นเหมือนแมวที่กําลังขู่ศัตรู คางชิดอก หายใจออก ค้างท่านับ 1-10 หายใจตามปกติ

3. ค่อยๆลดหลังลง เคลื่อนหน้าขึ้นมาตรง หายใจออก ค้างท่านับ1-10

4. จากนั้นหายใจเข้าพร้อมกับแอ่นหลังลงไป เงยหน้าขึ้น หายใจออกค้างท่านับ 1-10 หายใจตามปกติ จบด้วยการหายใจเข้า เคลื่อนหลังขึ้นมาตรง หน้าตรง หายใจออก

(ท่านี้ไม่เหมาะกับผู้มีอาการเจ็บหลังอยู่)

และเพื่อป้องกันไม่ให้อาการหวนกลับมาอีกในเดือนหน้า ก็ต้องใส่ใจในเรื่องอารมณ์เป็นพิเศษ เพราะเป็นตัวแปรสําคัญซึ่งมีส่วนเสริมความรุนแรงของอาการปวดประจําเดือน โดยพบว่าคนที่อารมณ์อ่อนไหวง่าย หรือมีความเครียด จะมีอาการปวดรุนแรงกว่าคนที่มีอารมณ์ดี

นอกจากนี้การออกกําลังกายเป็นประจํายังเป็นยาดีที่จะช่วยเราได้ในระยะยาว และเพราะช่วยให้ร่างกายได้หลั่งสารอินเดอร์ฟินให้ได้รู้สึกกระปี้กระเป่า และยังช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคได้ด้วย



 
 

ช็อกโกแลต ซีสต์ ปวดท้องประจำเดือน ภัยเสี่ยงหญิงตัดมดลูกทิ้ง...มีบุตรยาก!!!

ผู้หญิงเมื่อประจำเดือนมาที ไร หลายคนมัก มีอาการปวดท้องร่วมด้วยเสมอ แต่หากปวดมากและบ่อยครั้งขึ้น พึงระวัง...อาจเป็น ช็อกโกแลต ซีสต์ ได้!
นพ.อุดมศักดิ์ ศรีแสงนาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์ เล่าถึงการเกิดของโรคช็อกโกแลต ซีสต์ ให้ฟังว่า โดยปกติในระหว่างรอบประจำเดือน เยื่อบุมดลูกจะมีการเปลี่ยนแปลง คือ ใน 1 รอบประจำเดือน จะยาวประมาณ 28 วัน ซึ่งอาจสั้น หรือยาวกว่านี้ ในแต่ละบุคคล โดยนับวันที่ประจำเดือนหมด คือ ประมาณวันที่ 5 รังไข่จะผลิตฮอร์โมนเพศสตรีมากระตุ้นเยื่อบุมดลูกให้เจริญและหนาตัวขึ้น มีเส้นเลือดนำอาหารมาเลี้ยงมากขึ้นเพื่อเตรียมรับการตั้งครรภ์

ประมาณ วันที่ 14 ของรอบเดือน เยื่อบุมดลูกจะหนากว่าระยะเริ่มต้นถึง 10 เท่า และช่วงนี้จะมีการตกไข่ ไข่จะถูกจับเข้าไปในท่อนำไข่ และถ้าได้ปฏิสนธิ กับเชื้ออสุจิ จะเคลื่อนเข้าไปในมดลูกและฝังตัวอยู่ในเยื่อบุมดลูก ถ้าไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ จะสลายตัวไป ระดับฮอร์โมนก็จะลดลงโดยมีการลอกหลุดตัวของเยื่อบุมดลูกกลายเป็นประจำเดือน ออกมาประมาณวันที่ 28 ของรอบเดือนแล้วก็เริ่มต้นรอบเดือนใหม่เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ เดือน

แต่ สำหรับโรคนี้ เมื่อผู้หญิงมีประจำเดือน ที่เยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งจะมีลักษณะเป็นถุงน้ำที่ภายในมีเลือดเคลื่อนตัวออก จากโพรงมดลูกหลุดไปติดตามท่อนำไข่ แล้วไปเจริญเติบโตในอวัยวะต่าง ๆ เช่น อุ้งเชิงกราน ท่อรังไข่ ลำไส้ ช่องคลอด มดลูก กระเพาะปัสสาวะ โดยหากมารวมอยู่ที่ รังไข่จะเรียกว่า ช็อกโกแลต ซีสต์ มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ เหมือนช็อกโกแลตซึ่งเป็นเลือดเก่า แทนที่จะออกมาทางช่องคลอดตามปกติ โรคนี้ทางการแพทย์เรียกว่า เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่ (Endometriosis)

มี อาการปวดท้องน้อยเรื้อรังเมื่อมีประจำเดือน โดยจะปวดด้านหน้า ตั้งแต่สะดือไปถึงอุ้งเชิงกราน ส่วนด้านหลังตั้งแต่บั้นเอวไปถึงก้นกบ บางคนปวดมาก บางคนปวดน้อยปรากฏการณ์นี้จะเป็นเช่นนี้ทุก ๆ เดือนและเกิดปฏิกิริยาขึ้นทุกครั้งที่มีเลือดออกพร้อมกับการมีประจำเดือน ทำให้มีเยื่อพังผืดหนาตัวขึ้นเรื่อย ๆ ในอุ้งเชิงกราน บางครั้งถุงเลือดที่มีอยู่เดิมแตกออกมา ทำให้เลือดและเยื่อบุมดลูกกระจายไปเจริญขึ้นในที่อื่น ทำให้เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ การมีพังผืดตามอวัยวะต่าง ๆ มากเช่นนี้เป็นผลให้การตกไข่ออกจากรังไข่ไปไม่ดีหรือไปไม่ได้ และท่อนำไข่ก็ไม่สามารถทำงานในการจับไข่เข้าไปได้ เพราะมีการยึดรั้งจากพังผืดหรือทำให้ ท่อนำไข่ตีบตันเป็นสาเหตุสำคัญของการมีบุตรยาก

สิ่งที่จะบ่งชี้ว่า อาการปวดดังกล่าวเป็นอาการปวดท้องธรรมดาหรือเป็นอาการปวดของโรคนี้ คือ อายุ โดยจะพบมากในสตรีที่มีอายุ 30-40 ปี หรือวัยก่อนหมดประจำเดือน ในกรณีที่ไม่เคยปวดมาก่อน แต่พออายุ 30 ปีขึ้นไปแล้วกลับมีอาการปวดและปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละเดือน สันนิษฐานได้ว่าอาจปวดจากเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่ได้ ฉะนั้น เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีประจำเดือนเท่านั้น โดยก่อนวัยมีประจำเดือนหรือวัยหมดประจำเดือนจะไม่พบโรคนี้

เนื่อง จากเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ส่วนมากเป็นทางกรรมพันธุ์ พบประวัติว่า มารดา พี่ น้อง เป็นโรคนี้ แต่โชคดี คือ มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะกลายเป็นเนื้อร้าย วิธีบรรเทาอาการปวดจึงรักษาตามอาการ หากมีอาการปวดเพียงเล็กน้อยจะประคบด้วยน้ำร้อน ปวดกลาง ๆ แต่ทนได้ให้ทานยาแก้ปวด ถ้าปวดมากต้องใช้ยาเฉพาะทาน

พบว่า ประมาณร้อยละ 43 ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์หลัง มีอาการประมาณ 1 ปี การตรวจร่างกายมักไม่พบความผิดปกติ ที่ชัดเจน หลังการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงหรือการทำอัลตราซาวด์ อาจจะพบถุงน้ำที่รังไข่ ในบางครั้งอาจต้องใช้วิธีตรวจโดยการใช้กล้องส่องเข้าไปในช่องท้อง

กรณี ถุงน้ำที่รังไข่มีขนาดเล็กอาจจะให้การรักษาด้วยยา ร้อยละ 60 ที่รักษาด้วยยาไม่ดีขึ้นต้องผ่าตัด จากการศึกษาพบว่า การรักษาอาการปวดที่เกิดจากภาวะช็อกโกแลต ซีสต์ แพทย์นิยมให้ผู้ป่วยฉีดยาคุมกำเนิดทุก 3 เดือน เป็นเวลา 12 เดือน หรือให้ทานยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนต่ำ พบว่า ทั้งสองวิธีได้ผลสามารถทำให้ขนาดของช็อกโกแลต ซีสต์ลดลง

ภาวะของ โรคช็อกโกแลต ซีสต์ ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดอาการปวดทุกครั้งเมื่อมีประจำเดือน ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข หากปล่อยทิ้งระยะเวลาไว้นานอาจทำให้เกิดการสร้างเยื่อพังผืดขึ้นมาล้อมรอบ ยิ่งถ้าเป็นบริเวณลำไส้ใหญ่จะทำให้ผ่าตัดได้ยาก เนื่องจากขณะทำการผ่าตัดเอาพังผืดออกอาจทำให้มีโอกาสทะลุไปโดนลำไส้ใหญ่ได้ จำต้องผ่าตัดเพื่อเย็บลำไส้ซ้ำอีกครั้ง

นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวว่า สตรีที่เป็นโรคนี้จะมีภาวะมีบุตรยากขึ้นกว่าคนไม่เป็นโรค บางรายแพทย์ตรวจพบโรคนี้จากการตรวจหาสาเหตุของการ ไม่มีบุตร เมื่อทำการรักษาหรือผ่าตัดช็อกโกแลต ซีสต์ออกไปแล้วอาจทำให้มีลูกได้ แต่ไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่มีโอกาสเพิ่มมากขึ้น

ถ้า เป็นแล้วไม่ต้องกลัว สามารถรักษาได้ แม้จะไม่หาย ขาดมีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีก แต่ไม่ควรประมาท เพราะ ถ้าปล่อยให้เป็นมาก ๆ อาจถึงขั้นต้องตัดมดลูกทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำใจลำบากในผู้ป่วยบางราย จึงควรหมั่นดูแลสุขภาพ เช็กร่างกายตนเองอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นจะได้รักษาแก้ไขได้ทัน

เมื่อมีอาการปวดในระหว่างมีประจำเดือนอย่าชะล่าใจ...หากอาการปวดนั้นทวีขึ้นเรื่อย ๆ ทุกเดือน!!.


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ข้อมูลโดย : นิตยสาร หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เมื่อปวดท้องรอบเดือน

เมื่อเริ่ม เข้าสู่วัยแตกเนื้อสาว สรีระร่างกายในทุกอณูของผู้หญิง ล้วนแต่ถูกกำหนดโดยฮอร์โมนเพศ ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเลือดประจำเดือน ซึ่งเลือดดังกล่าวเกิดจากการกระตุ้นของฮอร์โมนเพศจากรังไข่ให้สร้างเยื่อบุ มดลูกขึ้นภายในผนังมดลูก เพื่อเตรียมรับการฝังตัวของไข่ที่มีการปฎิสนธิกับสเปิร์มกลายเป็นตัวอ่อน หรือรองรับการตั้งครรภ์ใดๆเกิดขึ้น เยื่อบุมดลูกที่ถูกสร้างเตรียมไว้ก็จะถูกขับให้หลุดลอกผ่านทางช่องคลอดออก มานอกร่างกาย โดยปกติกระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและเป็นประจำทุกๆ 28 วัน หรือหนึ่งรอบเดือนโดยประมาณ แต่ก็ยังมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่มีรอบเดือนมาไม่ปกติ หรือเวลาที่มีรอบเดือนมาแต่ละที สภาพร่างกายก็แทบจะรับไม่ได้ มิหนำซ้ำยังเกิดภาวะอารมณ์แปรปรวนซ้ำเติมขึ้นอีก


สุขภาพที่แข็งแรงจะเกิดการแปรปรวนน้อยกว่า
ผู้หญิงที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และมีภูมิต้านทานโรคสูง ในระยะก่อนหรือช่วงมีรอบเดือนมา จะมีอาการปวดเกร็งมดลูกน้อยกว่าผู้หญิงสภาพร่างกายอ่อนแอ ขาดสารอาหารหรือขาดการออกกำลังกาย ทั้งนี้ ราว 10 วัน ก่อนหน้าที่ประจำเดือนจะมาปริมาณแร่ธาตุต่างๆในร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แคลเซียมและสังกะสีในเลือดจะค่อยๆลดน้อยลง แต่ในขณะเดียวกันแร่ธาตุทองแดงกลับเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการคัดเต้านม ช่องท้องพองตัว ปวดศรีษะ นอนไม่หลับ จิตใจไม่สงบ บางรายมีอาการกระสับกระส่าย ซึมเศร้า หรือในบางครั้งก็ตื่นเต้นอย่างไม่มีเหตุผล น้ำหนักตัวเพิ่ม ภูมิต้านทานต่ำ และง่ายต่อการแพ้และติดเชื้อ

ทางแก้และป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอาการต่างๆดังกล่าวในระยะก่อนมีประจำเดือน จึงควรรับประทานอาหารที่ช่วยปรับให้ร่างกายเกิดความสมดุล นอกจากจะต้องหมั่นรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและสังกะสีเพิ่มขึ้นแล้วก็ ควรเพิ่มการรับประทานวิตามินซี เหล็ก แมกนีเซียมและวิตามินบีรวม ด้วย

ลดอาการปวดเกร็งท้องด้วยวิตามินและแร่ธาตุ
สำหรับ อาการปวดเกร็งท้องเหมือนใครมาบิดไส้เป็นพักๆนั้นถือว่าเป็นอาการปกติที่ผู้ หญิงกว่า 50% มักจะต้องเป็นกัน ซึ่งสาเหตุสำคัญของอาการปวดดังกล่าวเป็นผลมาจากพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ฮอร์โมนที่สร้างจากมดลูกสำแดงฤทธิ์เดชทำให้ผนังมดลูกมีการบีบตัวขณะที่มี ประจำเดือน อย่างไรก็ดีอาการเช่นนั้นสามารถทำให้ลดลงได้ โดยต้องบำรุงร่างกายด้วยวิตามินบี 6 ไนอาซิน โพแทสเซียม และแมกนีเซียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 6 ซึ่งนอกจากจะช่วยลดอาการปวดเกร็งท้องแล้วยังช่วยให้อาการบวมน้ำลดลงด้วย แล้วถ้าหากรับประทานวิตามินเอ วิตามินบีรวม และโฟเลตเพิ่มเติม ก็จะยิ่งช่วยบรรเทาภาวะอารมณ์กดดันในช่วงเวลานั้นได้อีกด้วย

ส่วน ผู้ที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือมาบ้างไม่มาบ้างนั้นก็แก้ไขด้วยการรับประทานวิตามินบีรวม วิตามินซี และธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น แล้วที่สำคัญต้องหมั่นออกกำลังกาย ทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใส และพยายามหลีกเลี่ยงจากความเครียดต่างๆก็จะช่วยปรับให้รอบเดือนมาตรงตาม เวลามากขึ้น

นอกจากแร่ธาตุและสารอาหารต่างๆแล้ว เราสามารถลดอาการปวดท้องเนื่องจากประจำเดือนได้โดยวิธีการดังนี้
1. งดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน และไม่รับประทานอาหารมากเกินไป
หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด และอาหารที่อาจทำให้ระบบทางเดินอาหารปั่นป่วน ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมให้อาการปวดท้องประจำเดือนยิ่งปวดหนักขึ้น
2. ออกกำลังกายเป็นประจำ
เพราะ การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกาย นอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์แล้ว ยังช่วยทำให้เลือดประจำเดือนไหลออกมาได้สะดวกขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข หรือฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินเพิ่มขึ้น ซึ่งจะไปช่วยต้านความเจ็บปวดจากการบีบตัวของมดลูกได้เป็นอย่างดี

หากปวดท้องมากผิดปกติไม่ควรนิ่งนอนใจ
ประมาณ 5-10% ของผู้หญิงทั่วไป มีอาการปวดท้องมากเกินปกติในทุกๆครั้งที่มีประจำเดือน ถึงขนาดที่ต้องรับประทานยาแก้ปวดในระหว่างที่มีรอบเดือนทุกครั้ง ถ้าเช่นนี้อาจเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากการมีประจำเดือนโดยไม่มีการตกไข่ เรียกเป็นภาษาทางการแพทย์ว่า อันโอวูลาทอรี ไซเคิล (Unovulatory Cycle) ก็เป็นได้ ซึ่งไม่ถือเป็นกรณีที่ร้ายแรงเพราะยังสามารถบรรเทาเยียวยาได้ด้วยยาแก้ปวด และต้องใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ขึ้น

แต่ สำหรับสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องมากผิดปกตินอกเหนือจากกรณีดัง กล่าวข้างต้น อาจเป็นกรณีที่เกิดจากโรคร้ายแรงบางอย่างซ่อนอยู่อย่างเช่น โรคเชิงกรานอักเสบ หรือ เอนโดเมทริโอซิส (Endometriosis) ซึ่งเกิดจากการมีเยื่อบุของมดลูกไปก่อตัวขึ้นอยู่ในบริเวณอื่น และถ้าหากมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของต่อไทรอยด์ผิดปกติเข้ามาสมทบด้วย นอกจากจะส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องมากแล้ว ก็จะทำให้เกิดมีเลือดประจำเดือนมามากผิดปกติร่วมด้วย ฉะนั้นเพื่อความไม่ประมาทจึงควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน


มีเลือดออกกะปริดกะปรอยแบบไม่มีช่วงเวลาแน่นอน
การ มีเลือดออกกะปริดกะปรอย สำหรับผู้หญิงบางคน บางครั้งอาจเป็นเรื่องปกติซึ่งมักจะมีเลือดออกมาทุกครั้งประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนมีรอบเดือนแบบจริงจัง โดยสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้นอาจเกิดจากการที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนต่ำ เกินไป แต่ถ้าหากการมีเลือดออกกะปริดกะปรอยดังกล่าวเกิดขึ้นแบบไม่มีช่วงเวลาแน่ นอนในแต่ละเดือนเช่นนี้อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับอิทธิพลของฮอร์โมนแต่อาจมี สาเหตุมาจากเนื้องอก ผังพืด หรือถึงขั้นมะเร็งของมดลูกก็เป็นได้

อาการเจ็บคัดเต้านมก่อนและขณะมีประจำเดือน
ระดับ ฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเพิ่มสูงขึ้นในกระแสเลือด ก่อนที่รอบเดือนจะมามักส่งผลให้เกิดอาการเจ็บคัดเต้านมได้ และโดยปกติอาการดังกล่าวจะหายไปเมื่อประจำเดือนมา หรือเมื่อหมดไป ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากคุณรู้สึกหงุดหงิดกับอาการเช่นนี้ ทางที่ดีก็ควรงดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะ 1 สัปดาห์ก่อนจะมีรอบเดือน ไม่ว่าจะเป็น ชา กาแฟ น้ำอัดลมที่ผสมกาเฟอีนและช็อคโกแลต นอกจากนี้การรับประทานวิตามินอี ก็อาจจะช่วยลดอาการดังกล่าวได้ เพราะวิตามินชนิดนี้มีฤทธิ์ที่ช่วยต่อต้านเอสโตรเจน

อย่างไรก็ตามหา กาอาการเจ็บคัดเต้านม ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน หากแต่เกิดจากสาเหตุอื่น เช่นเป็นซีสต์ เนื้องอกเนื้อร้าย หรือเกิดจากการอักเสบของกระดูกซี่โครง เช่นนี้ควรรับปรึกษาแพทย์ทันที